ธุรกิจเครื่องสำอางค์
จากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 ถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการเครื่องสำอางในไทยเป็นอย่างมาก
เพราะไม่เพียงแต่จะมีเรื่องของการส่งออกเครื่องสำอางที่จะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของประเทศเท่านั้น แต่การผลิตและการบรรจุเครื่องสำอางก็อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของทางการที่เข้มข้นขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการเครื่องสำอางสามารถฟื้นฟูกิจการให้อยู่รอดในช่วงนี้คือ
การประคองธุรกิจช่วงโควิด-19 ในระยะสั้น
ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในองค์กร เช่น การบริหารจัดการสภาพคล่อง การบริหารสต็อกวัตถุดิบ รวมถึงผลกระทบในส่วนของพนักงาน ตลอดจนการตรวจสอบกับพันธมิตรคู่ค้าในต่างประเทศ ถึงสถานการณ์ด้านการตลาด และอุปสรรคที่อาจมีในด้านการขนส่งสินค้า เพื่อวางแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์การนำเสนอสินค้าที่มีขนาดแตกต่างกันเพื่อเป็นทางเลือกเช่น การผลิตสินค้าขนาดเล็ก นอกจากจะเหมาะกับกลุ่มลูกค้ารายเดิมที่กำลังซื้อมีจำกัดแล้ว ยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังมีรายได้ไม่สูง แต่สนใจอยากทดลองใช้สินค้า
การปรับช่องทางการจัดจำหน่าย
เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ เพราะในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 สินค้าเครื่องสำอางได้รับความสนใจสั่งซื้อผ่าน ช่องทางนี้สูง โดยเฉพาะสินค้าจากผู้ประกอบการรายย่อย เนื่องจากผู้ซื้อต้องการความหลากหลายของสินค้า ขณะเดียวกับที่ผู้บริโภคเองต่างมีการแบ่งปันข้อมูลสินค้ากันในสังคมออนไลน์เช่นกัน
การเร่งจัดกิจกรรมการขายหลังการระบาดของโรคคลี่คลาย
เนื่องจากไทยถือเป็นศูนย์กลางการผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางในภูมิภาคอาเซียน หากสถานการณ์ระบาดของโรคคลี่คลายเป็นปกติ จะทำให้คู่ค้าได้เข้ามาพบปะผู้ประกอบการเครื่องสำอาง รวมถึงติดตามความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมเครื่องสำอางรูปแบบใหม่ๆ อีกทั้งการร่วมมือกับภาครัฐวางแผนจัดงานแสดงสินค้า เพื่อให้ยอดขายกลับมาปกติเร็วที่สุด
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องสำอาง ที่กำลังมองหาช่องทางการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ หลังจากที่วิกฤติทั่วโลกคลี่คลายนั้น ตลาดส่งออกที่น่าสนใจ ดังนี้
ตลาดส่งออกที่สำคัญคือ ตลาดในเอเชียที่มีสัดส่วนสูงถึง 82.8% (ตลาดหลัก ได้แก่ อาเซียน 38.9% ญี่ปุ่น 12.7% จีน 10.7% เกาหลีใต้ 3.7%)รองลงมาคือ ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และตลาดสหภาพยุโรปประเภทเครื่องสำอางที่ส่งออกสูง ได้แก่ เมคอัพที่ใช้แต่งหน้าหรือสกินแคร์บำรุงผิว และสิ่งปรุงแต่งที่ใช้กับผม ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 52.9% รองลงมาคือวัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องสำอางสัดส่วน 18.7%
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการเครื่องสำอางควรเรียนรู้เทรนด์ที่เกี่ยวข้องที่กำลังเป็นที่สนใจ รวมถึงตลาดที่จะกลับมาเติบโตภายหลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลายลง โดยเทรนด์เครื่องสำอางที่เติบโตสูงและกำลังเป็นที่สนใจในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่
- เครื่องสำอางสำหรับเด็ก
ซึ่งต้องมีความปลอดภัย และไม่เกิดการแพ้ เนื่องจากผิวเด็กมีความบอบบาง และไวต่อเครื่องสำอาง
- เครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและดูแลเส้นผม ได้รับความสนใจสูง โดยเฉพาะในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาด เครื่องสำอางผู้ชายจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 ของตลาดเครื่องสำอางในปัจจุบัน
- เครื่องสำอางหรับผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุมีจำนวนประชากร เกือบ 1 พันล้านคนทั่วโลก และบางส่วนยังคงให้ ความสนใจกับบุคลิกตนเองจึงต้องการผลิตภัณฑ์ดูแล ผิว ต่อต้านริ้วรอยให้ดูอ่อนกว่าวัย และผลิตภัณฑ์ดูแล เส้นผม
- เครื่องสำอางสำหรับตลาดมุสลิม
คาดว่าจะมี มูลค่า 8.1 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2564 โดยส่วนใหญ่ อยู่ในประเทศที่มีชาวมุสลิมจำนวนมาก เช่น ตะวันออกกลาง อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย ตุรกี มาเลเซีย โดยประเภทของเครื่องสำอางที่น่าสนใจได้แก่ เครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย และเด็ก เป็นต้น
- เครื่องสำอางไซส์มินิ
สำหรับผู้ที่ต้องการสินค้า ที่พกพาสะดวก รวมถึงกลุ่มที่มีกำลังซื้อไม่สูงมากนัก และกลุ่มที่ต้องการทดลองใช้สินค้าก่อนใช้จริง
- สินค้าที่ผลิตมาเฉพาะบุคคล (Customization)
เป็นการผสานเทคโนโลยี เช่น AI และ Big Data สำหรับ วิเคราะห์และผลิตเครื่องสำอางสำหรับผู้มีสภาพผิวที่แตกต่างกัน
- การห้ามใช้เม็ดพลาสติกไมโครบีดส์
ซึ่งผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ชำระล้างต่างๆ เช่น สบู่ โฟม แชมพู ซึ่งหลายๆ ประเทศ ทั้งจีน ไต้หวัน รวมถึงไทย ได้ห้ามผลิตหรือ จำหน่ายตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป
- เครื่องสำอางที่ใช้สารปรุงแต่งน้อย
โดยเน้น วัตถุดิบจากธรรมชาติ หรือออร์แกนิก รวมถึงที่สามารถ ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech)
เห็นได้ชัดว่า ปี 2563 นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการเครื่องสำอางในไทยไม่น้อย ที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต ที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยต่อผลประกอบการ แต่เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ผู้ประกอบการทำได้ คือการผลักดันธุรกิจให้อยู่รอดต่อไป การระบาดของโรคโควิด-19 อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการเครื่องสำอางใช้โอกาสนี้ ปรับกลยุทธ์ด้วยการบริหารจัดการต้นทุน ควบคู่ไปกับการเร่งพัฒนาช่องทาง การขายสินค้าจากช่องทางหน้าร้าน (Offline) ที่เคยเป็นตลาดหลัก ขยายไปสู่ช่องทางออนไลน์ (Online) ให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สินค้าเครื่องสำอางสามารถขยายโอกาสการส่งออก ภายหลังการระบาดของโรคคลี่คลายเป็นปกติได้กว้างขวางมากขึ้น
ติดตามเนื้อหาดีๆ น่าอ่านได้ที่ terrasemfronteiras.com อัพเดตทุกสัปดาห์